Net Zero Trend ในปี 2026: ทิศทางและความท้าทายสู่อนาคตที่ยั่งยืน

Net Zero Trend ในปี 2026: ทิศทางและความท้าทายสู่อนาคตที่ยั่งยืน

บทนำ

ปี 2026 กำลังจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero ทั่วโลก หลังจากที่ประชาคมโลกตระหนักถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ การเดินทางสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไม่ใช่เพียงเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นเรื่องของความอยู่รอด ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนของธุรกิจในศตวรรษที่ 21

ความหมายของ Net Zero

Net Zero Emissions หมายถึง สถานะที่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมีความสมดุลกับปริมาณที่ถูกดูดซับกลับคืนมา ผ่านกลไก 3 ส่วนหลัก:

  1. ลด – การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิด เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
  2. ดูดกลับ – การดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากบรรยากาศ เช่น การปลูกป่า การใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน
  3. ชดเชย – การซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยที่เหลืออยู่

แนวโน้มสำคัญในปี 2026

1. การเปลี่ยนแปลงกรอบนโยบายระดับโลก

ปี 2026 จะเป็นช่วงเวลาที่เห็นการปรับเปลี่ยนกรอบนโยบาย Net Zero อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากที่องค์กร Net Zero Asset Managers (NZAM) ประกาศปรับกรอบการทำงานใหม่ในปี 2026 โดยลดข้อกำหนดเรื่องเป้าหมาย 2050 ที่เคยบังคับ เพื่อรองรับความหลากหลายของบริบทในแต่ละภูมิภาค ทั้งนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของภาคการเงินโลกท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง

องค์กร Science Based Targets initiative (SBTi) กำลังปรับปรุงมาตรฐาน Corporate Net-Zero Standard เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงการยอมรับการลงทุนด้านการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศและโครงการกำจัดคาร์บอน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2028

2. การลงทุนด้าน Net Zero เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์

แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความท้าทาย แต่เงินลงทุนไหลเข้ากลุ่ม Net Zero ในปี 2022 สูงถึง 1,110 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทิศทางนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2026 เนื่องจาก:

  • บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกกำหนด Carbon Neutrality เป็นเป้าหมายหลัก
  • นักลงทุนให้ความสำคัญกับการลดความเสี่ยงด้าน ESG มากกว่าการแสวงหากำไรระยะสั้น
  • การเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตและเทคโนโลยีสีเขียว

3. มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น

EU-CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป จะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2026 ส่งผลกระทบต่อ:

  • อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น เหล็ก ซีเมนต์ ปุ๋ย อะลูมิเนียม
  • ประเทศผู้ส่งออกที่ยังพึ่งพาการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูง
  • ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และภาษีคาร์บอน

4. การปรับตัวของมาตรฐานอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน

กฎระเบียบการก่อสร้างในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปปี 2026 กำหนดให้ระบบ HVAC และอาคารต้องมีมาตรฐาน Net Zero เป็นพื้นฐาน โดย:

  • ระบบต้องสามารถทำงานที่อุณหภูมิต่ำและบูรณาการกับพลังงานหมุนเวียน
  • การออกแบบต้องใช้เครื่องมือจำลองทางฟิสิกส์แทนการคำนวณแบบดั้งเดิม
  • เน้นประสิทธิภาพตลอดวงจรชีวิตของอาคาร

5. ความร่วมมือข้ามภาคส่วน

ปี 2026 เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อ:

  • แก้ปัญหา Supply Chain ที่กระจัดกระจาย
  • เพิ่มการเข้าถึงข้อมูล Scope 1, 2 และ 3 emissions
  • สร้างแรงจูงใจผ่านนโยบายและเทคโนโลยี

6. เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่

  • Carbon Capture and Storage (CCS) – เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน
  • Digital Twins และ AI – ใช้ในการจำลองและเพิ่มประสิทธิภาพระบบพลังงาน
  • Green Hydrogen – พลังงานทางเลือกสำหรับอุตสาหกรรมหนัก
  • Circular Economy – เศรษฐกิจหมุนเวียนที่ลดของเสีย

สถานการณ์ของประเทศไทย

ประเทศไทยประกาศเป้าหมาย:

  • Carbon Neutrality ภายในปี 2050 – ความเป็นกลางทางคาร์บอน
  • Net Zero Emissions ภายในปี 2065 – การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

แนวทางสำคัญของไทย

1. ภาคพลังงาน (71.65% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก)

  • เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 40%
  • ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

2. ภาคป่าไม้และการใช้ที่ดิน

  • เพิ่มพื้นที่ป่าไม้เป็น 40% ของพื้นที่ประเทศ
  • พัฒนา Green Building และสถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง

3. ภาคอุตสาหกรรม

  • ใช้โมเดล BCG Economy (Bio-Circular-Green)
  • ปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • พัฒนา S-curves ใน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

ความท้าทายในปี 2026

1. ความไม่แน่นอนทางการเมือง

การปรับนโยบายด้านความยั่งยืนของสหรัฐอเมริกาและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายภูมิภาค สร้างความท้าทายต่อการดำเนินการตามแผน Net Zero

2. ต้นทุนและการลงทุน

การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ต้องใช้เงินลงทุนสูง โดยคาดว่าจะต้องใช้ประมาณ 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีทั่วโลก หรือเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านล้านดอลลาร์จากปัจจุบัน

3. เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน

  • ขาดแคลนเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งานในบางอุตสาหกรรม
  • โครงสร้างพื้นฐานเดิมยังไม่พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง
  • ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

4. การจัดการ Supply Chain

  • ขาดข้อมูล Scope 3 emissions ที่ครอบคลุม
  • ความร่วมมือจากซัพพลายเออร์ยังไม่เพียงพอ
  • ต้นทุนในการติดตามและรายงานยังสูง

5. ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศ

ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนามีความสามารถในการลงทุนและเข้าถึงเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องมีกลไกสนับสนุนทางการเงินและการถ่ายทอดเทคโนโลยี

โอกาสทางธุรกิจ

1. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

ตลาด EV กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสในการผลิต แบตเตอรี่ และโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ

2. พลังงานหมุนเวียน

การลงทุนในโซลาร์เซลล์ กังหันลม และพลังงานชีวมวลมีแนวโน้มเติบโตสูง

3. เทคโนโลยีสีเขียว

  • ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ
  • เทคนโลยีดักจับคาร์บอน
  • วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

4. บริการที่ปรึกษา

ความต้องการบริการที่ปรึกษาด้าน Net Zero เพิ่มขึ้น ทั้งการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การวางแผนลด และการรายงาน

5. ตลาดคาร์บอนเครดิต

การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะเติบโตเป็นตลาดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

ข้อเสนอแนะสำหรับองค์กร

  1. เริ่มต้นวันนี้ – ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
  2. ลงทุนในเทคโนโลยี – นำเทคโนโลยีสีเขียวและระบบดิจิทัลมาใช้
  3. ร่วมมือกับพันธมิตร – สร้างเครือข่ายกับซัพพลายเออร์และคู่ค้า
  4. พัฒนาบุคลากร – สร้าง Green Jobs และอบรมพนักงาน
  5. โปร่งใสและรายงาน – เปิดเผยข้อมูลและความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

ปี 2026 เป็นปีแห่งการปรับตัวและความท้าทายสำหรับเป้าหมาย Net Zero ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสทองสำหรับองค์กรที่พร้อมเปลี่ยนแปลง การดำเนินการเพื่อ Net Zero ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ลดความเสี่ยง และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน

ความสำเร็จของ Net Zero ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและสนับสนุน ภาคเอกชนที่ต้องลงทุนและปรับเปลี่ยนธุรกิจ และประชาชนที่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เราทุกคนต่างมีบทบาทในการสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป


หมายเหตุ: บทความนี้สรุปจากแนวโน้มและข้อมูลปัจจุบันถึงปลายปี 2025 สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: Content is protected !!